จากรับการอบรมเชิงปฏิบัติการเรื่องการสอนภาษาไทยแนวคีตวรรณกรรม เนื้อหาในวันนี้เริ่มตั้งแต่การบ่นความของท่านวิทยากรผู้มากความสามารถ อาจารย์ธนกฤต อกนิษฐ์ธาดา ประธานกองทุนคีตวรรณกรรม กล่าวถึงปัญหานักเรียนอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ที่มีความรุนแรงมากขึ้นเพราะปัจจัยหลายอย่าง และได้รณรงค์ให้ช่วยกันแก้ไข นอกจากนี้ท่านวิทยากรได้อธิบายความหมายของคำว่า คีตวรรณกรรมไว้เป็น ๒ นัยยะสำคัญ คือ
๑. ท่วงทำนองของวรรณกรรม เช่น การอ่าน การขับ การร้อง การเห่ การสวด การแหล่ การเทศน์ การพากย์ หรือท่วงทำนองใดก็ตามที่นำมาใช้ประกอบงานวรรณกรรมนับตั้งแต่โบราณจนถึงอนาคต แม้เพลงลูกทุ่งเพลงสตริงที่กำลังโด่งดังในปัจจุบันก็ถือเป็นคีตวรรณกรรม เพราะมีทำนองที่นำมาร้องกับเนื้อเพลงที่ถือเป็นงานวรรณกรรม แม้เพลงประกอบภาพยนตร์ก็ถือเป็นงานคีตวรรณกรรม เพราะบทภาพยนตร์ถือเป็นงานวรรณกรรม
๒. วรรณกรรมที่มีท่วงทำนอง ได้แก่ งานวรรณกรรมทุกประเภทที่สามารถนำมาขับขานเป็นทำนอง หรือใช้เป็นตัวหลักให้มีทำนองดนตรีมาประกอบ เช่น เรื่องขุนช้างขุนแผนใช้ขับเสภา กาพย์เห่เรือใช้สำหรับเห่เรือ กาพย์พระไชยสุริยาใช้สำหรับสวดโอ้เอ้วิหารราย บทละคร-บทภาพยนตร์ที่ต้องใช้ดนตรีประกอบ เป็นต้น
ความสำคัญของการเรียนการสอนภาษาไทยแนวคีตวรรณกรรม
จากการที่มาตรฐานการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๔๔ ในแต่ละช่วงชั้น ได้กำหนดไว้ว่า ผู้เรียนจะต้อง “อ่านออกเสียงร้อยแก้วและร้อยกรองให้ถูกต้องตามอักขรวิธีและลักษณะคำประพันธ์ และการอ่านทำนองเสนาะ”
อีกทั้งเป้าประสงค์ของหลักสูตรยังมุ่งให้เกิดการเรียนรู้อย่างบูรณาการ โดยกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยสามารถบูรณาการอย่างใกล้ชิดกับสาขาที่เกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมไทย อาทิ การขับขานวรรณคดีกวีนิพนธ์เป็นท่วงทำนองต่าง ๆ เช่น การอ่านทำนองเสนาะ การขับเสภา การเห่เรือ การขับร้องเพลงไทย ฯลฯ ซึ่งเป็นการบูรณาการระหว่างภาษาและวรรณคดีไทยกับการขับร้องและการบรรเลงดนตรี ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ดนตรี และนาฏศิลป์ การบูรณาการในลักษณะนี้กำหนดเป็นคำศัพท์ทางวิชาการว่า “คีตวรรณกรรม (Musical Poetry)”
ดังนั้นครูผู้สอนภาษาไทยจึงต้องมีทักษะความรู้ในด้านคีตศิลป์อย่างเพียงพอที่จะนำไปใช้ในการสอน เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศในการเรียนรู้และโน้มน้าวให้ผู้เรียนเข้าถึงสุนทรียรสของวรรณคดีกวีนิพนธ์ที่ได้รับการคัดสรรมาใช้เป็นบทเรียน หรือเพื่อใช้เป็นเกณฑ์มาตรฐานในการวัดผลสัมฤทธิ์ของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน เช่น การประกวดอ่านทำนองเสนาะ เป็นต้น
เพื่อเป็นการเสริมสร้างประสิทธิภาพการสอนและการเรียนรู้ภาษาไทย อันถือเป็นการสืบทอดภาษาและวัฒนธรรมไทยไปสู่อนุชนรุ่นหลัง จึงสมควรที่ครูผู้สอนและผู้เรียนรู้ภาษาไทยทุกคนจะได้มีโอกาสในการฝึกฝนเสริมสร้างทักษะการเรียนการสอนภาษาไทยตามแนวคีตวรรณกรรม