นางจิรภาส กล้ากสิการ
ร.ร.ชุมชนประชาสามัคคี จ.กำแพงเพชร
"อยากให้ปรับโครงสร้างหลักสูตรประวัติศาสตร์ไทยให้ดี ไม่อยากให้เนื้อหาสาระเยอะเกินไป และอยากให้ครูทุกคนให้ความสำคัญกับการสอนประวัติศาสตร์ ทั้งที่เป็นวิชาสำคัญมาก แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงละเลยกันขนาดนี้ จะเห็นว่าปัจจุบันเด็กที่จบช่วงชั้นที่ 1 และ 2 เข้ามัธยมต้น ไม่รู้เรื่องประวัติศาสตร์ไทยเลย ทั้งสุโขทัย อยุธยา ซึ่งวิเคราะห์แล้วเป็นเพราะการไม่ให้ความสำคัญของครู และนักเรียน อย่างครูส่วนใหญ่จะสอนวิชาหลักๆ แต่พอถึงสาระสังคมศึกษา กลายเป็นไม่สำคัญเลย อย่างไรก็ตาม ประวัติศาสตร์ไทยเป็นเรื่องใกล้ตัวที่เด็กควรเรียนรู้ก่อนไปเรียนประวัติศาสตร์สากล ส่วนหลักสูตรใหม่ยังไม่รู้ว่าจะได้ผลมากน้อยแค่ไหนในการที่จะทำให้เด็กสนใจเรียนประวัติศาสตร์มากขึ้น ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าการแบ่งวิชาประวัติศาสตร์ออกมาต่างหาก น่าจะได้ผลดีกว่า"
นายปรีดี พิศภูมิวิถี
คณะอนุกรรมการชำระประชุมพงศาวดาร กรมศิลปากร และอาจารย์คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
"วิธีการหาความรู้ หรือการเรียนรู้ที่ครูประวัติศาสตร์จะเข้าถึงข้อมูล ซึ่งในอดีตครูจะอ่านจากหนังสือเพียงอย่างเดียว ดังนั้น ข้อมูลจะยึดที่ตัวปี และบุคคล แต่ปัจจุบันต้องเปลี่ยนแปลง ให้ครูรู้ว่ากระบวนการเข้าถึงมีหลายแบบ เช่น สำรวจเอกสารชั้นต้น การสังเกต การสอบถาม การสัมภาษณ์ และการออกไปดูสถานที่จริง หากเปลี่ยนแปลงได้ เชื่อว่าจะทำให้การเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ไทยน่าสนใจมากขึ้น นอกจากนี้ เวลาของการเรียนเรื่องประวัติศาสตร์ที่น้อยลงเป็นหนึ่งในปัญหา ขณะที่ภาระของครู และนักเรียนมีมากขึ้น ฉะนั้น เนื้อหาจะถูกอัดค่อนข้างมาก และครูยิ่งสรุปเนื้อหาอัดแน่นลงไป ก็จะทำให้เด็กไม่ได้คิดเอง ไม่รู้จักการตั้งคำถาม อีกทั้ง จากประสบการณ์การสอนวิชาประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัย พื้นฐานนักศึกษาค่อนข้างแย่ ทุกคนคิดว่าประวัติศาสตร์คือเรื่องที่ต้องอ่าน และจำ ซึ่งเป็นผลผลิตมาจากมัธยม แต่เมื่อมาเรียนในระดับอุดมศึกษา นักศึกษาจะต้องค้นคว้าด้วยตัวเอง จะทำให้เด็กเปลี่ยนทัศนคติในเรื่องนี้ได้"
นางจิณณรัตน์ อัครรังสีธนกุล
ศึกษานิเทศก์ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาสุโขทัย เขต 1
"อยากให้ครูปลูกฝังในเรื่องของถิ่นฐาน ประวัติศาสตร์ความเป็นมาในชนชาติ การรักท้องถิ่น ตั้งแต่ประถม ซึ่งครูอาจมองข้ามไป หรืออาจเป็นเพราะว่าสาระวิชาสังคมฯ แยกย่อยมากถึง 5 สาระ ทำให้ครูไม่สามารถลงลึกในรายละเอียดได้มาก โดยเฉพาะครูประถมมีจำกัด บางคนสอนหลายสาระฯ บางคนสอนต่างช่วงชั้นด้วย ส่วนการเรียนระดับมัธยม อาจมีปัญหาน้อย เพราะมีครูแยกประจำสาระวิชา นอกจากนี้ การที่วิชาประวัติศาสตร์ถูกนำไปใช้ในการสอบเข้ามหาวิทยาลัยน้อย ก็มีส่วนทำให้เด็กไม่สนใจ ฉะนั้น หากส่งเสริมเรื่องนี้ตั้งแต่ประถม เชื่อว่าเด็กจะหันมาสนใจประวัติศาสตร์ไทยเพิ่มขึ้นแน่นอน"
คุณหญิงกษมา วรวรรณ ณ อยุธยา
เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
"การเรียนการสอนประวัติศาสตร์ไทยควรเริ่มที่ท้องถิ่นของตนเองก่อน ทำให้การเรียนมีความหมาย มั่นใจว่าเด็กจะเรียนอย่างมีความสุข และจดจำได้ดี เพราะเป็นเรื่องใกล้ตัว โดยไม่ควรเน้นให้เด็กท่องจำ แต่ควรใช้วิธีการหลากหลาย นอกจากนี้ จะทำอย่างไรให้เด็กซาบซึ้ง มีจุดร่วมในสำนึกความเป็นไทย เพราะสิ่งที่พวกเราที่เป็นผู้ใหญ่รู้สึกซาบซึ้งและมีความผูกพันกัน เด็กยุคใหม่จะไม่คิดอย่างนั้น และมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว อาจเป็นเพราะพวกเขาไม่มีโอกาสได้สัมผัสสิ่งเหล่านี้"
นายวินัย พงศ์ศรีเพียร
รองประธานกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย
"ผมเคยพูดมาหลาย 10 ปีแล้วว่า การเรียนการสอนประวัติศาสตร์ชาติไทยมีอนาคตที่ค่อนข้างมืดมน เพราะระดับมัธยมไม่ให้ความสนใจ เพราะช่วงนั้นรัฐบาลให้ความสำคัญด้านวัตถุนิยม การพัฒนาเศรษฐกิจ และผมเคยเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ก็ทรงเป็นห่วงว่าคนไม่ให้ความสำคัญ คิดว่าการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ในโรงเรียนต้องเปลี่ยนแปลง ปัญหาสำคัญอยู่ที่ความรู้พื้นฐานของครูที่ไม่มีความรู้พื้นฐานประวัติศาสตร์ เพราะไม่มีโอกาสอ่านเอกสารต้นฉบับ ที่สำคัญความรู้ที่รับรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ชาติไทยที่อยู่ในตำราเรียน งานเขียนถูกต้องเพียง 60% เท่านั้น จึงเป็นเรื่องที่ควรจะให้ความสำคัญ"
จาก นสพ.มติชน 20 ต.ค.2551