ความสำคัญของการอ่าน
การอ่านมีความสำคัญต่อชีวิตมนุษย์ตั้งแต่เกิดจนโต และจนกระทั่งถึงวัยชรา การอ่านทำให้รู้ข่าวสารข้อมูลต่าง ๆ ทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันเป็นโลกของข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ ทั่วโลก ทำให้ผู้อ่านมีความสุข มีความหวัง และมีความอยากรู้อยากเห็น อันเป็นความต้องการของมนุษย์ทุกคน การอ่านมีประโยชน์ในการพัฒนาตนเอง คือ พัฒนาการศึกษา พัฒนาอาชีพ พัฒนาคุณภาพชีวิต ทำให้เป็นคนทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ และมีความอยากรู้อยากเห็น การที่จะพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองก้าวหน้าได้ต้องอาศัยประชาชนที่มีความรู้ความสามารถ ซึ่งความรู้ต่าง ๆ ก็ได้มาจากการอ่านนั่นเอง (ฉวีวรรณ คูหาภินนท์, 2542, หน้า 11)
ความหมายของการอ่าน
การอ่าน คือ กระบวนการที่ผู้อ่านรับรู้สารซึ่งเป็นความรู้ ความคิด ความรู้สึก และ ความคิดเห็นที่ผู้เขียนถ่ายทอดออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร การที่ผู้อ่านจะเข้าใจสารได้มากน้อยเพียงไร ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความสามารถในการใช้ความคิด (มณีรัตน์ สุกโชติรัตน์, 2547, หน้า 18)
จุดมุ่งหมายของการอ่าน (กระทรวงศึกษาธิการ, 2546, หน้า 9)
1. อ่านเพื่อความรู้ ได้แก่ การอ่านจากหนังสือตำราทางวิชาการ สารคดีทางวิชาการ การวิจัยประเภทต่าง ๆ หรือการอ่านผ่านสื่ออีเล็กทรอนิกส์ ควรอ่านอย่างหลากหลาย เพราะความรู้ในวิชาหนึ่ง อาจนำไปช่วยเสริมในอีกวิชาหนึ่งได้
2. อ่านเพื่อความบันเทิงได้แก่ การอ่านจากหนังสือประเภทสารคดีท่องเที่ยว นวนิยาย เรื่องสั้น เรื่องแปล การ์ตูน บทประพันธ์ บทเพลง แม้จะเป็นการอ่านเพื่อความบันเทิง แต่ผู้อ่านจะได้ความรู้ที่สอดแทรกอยู่ในเรื่องด้วย
3. อ่านเพื่อทราบข่าวสารความคิด ได้แก่ การอ่านจากหนังสือประเภทบทความ บทวิจารณ์ ข่าว รายงานการประชุม ถ้าจะให้เกิดประโยชน์อย่างแท้จริงต้องเลือกอ่านให้หลากหลาย ไม่เจาะจงอ่านเฉพาะสื่อ ที่นำเสนอตรงกับความคิดของตน เพราะจะทำให้ได้มุมมอง ที่กว้างขึ้น ช่วยให้มีเหตุผลอื่น ๆ มาประกอบการวิจารณ์ วิเคราะห์ได้หลายมุมมองมากขึ้น
4. อ่านเพื่อจุดประสงค์เฉพาะทางแต่ละครั้ง ได้แก่ การอ่านที่ไม่ได้เจาะจง แต่เป็นการอ่านในเรื่องที่ตนสนใจ หรืออยากรู้ เช่น การอ่านประกาศต่าง ๆ การอ่านโฆษณา แผ่นพับ ประชาสัมพันธ์ สลากยา ข่าวสังคม ข่าวบันเทิง ข่าวกีฬา การอ่านประเภทนี้มักใช้เวลาไม่นาน ส่วนใหญ่เป็นการอ่านเพื่อให้ได้ความรู้และนำไปใช้ หรือนำไปเป็นหัวข้อสนทนา เชื่อมโยงการอ่าน สู่การวิเคราะห์ และคิดวิเคราะห์ บางครั้งก็อ่านเพื่อใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์
ประโยชน์ของการอ่าน (ศรีรัตน์ เจิงกลิ่นจันทร์, 2536, หน้า 6)
1. เป็นการสนองความต้องการของมนุษย์
2. ทำให้มนุษย์เกิดความรู้ ทักษะต่าง ๆ ตลอดจนความก้าวหน้าทางวิชาชีพ
3. ทำให้มนุษย์เกิดความคิดสร้างสรรค์ ความเพลิดเพลินบันเทิงใจและเกิดความบันดาลใจ
4. เป็นการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
5. ทำให้มนุษย์ทันต่อเหตุการณ์ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของโลก
6. เป็นการส่งเสริมสุขภาพของมนุษย์
7. ช่วยให้มนุษย์แก้ปัญหาสังคม การเมือง เศรษฐกิจและปัญหาส่วนตัว
คุณสมบัติของนักอ่านที่ดี (ศิวกานท์ ปทุมสูติ, 2540, หน้า 17-18)
1. มีนิสัยรักการอ่าน
2. มีจิตใจกว้างขวางพร้อมที่จะอ่านหนังสือที่ดีมีคุณค่าได้ทุกประเภท
3. มีเจตคติที่ดีต่อการอ่านและเรื่องที่อ่าน
4. หมั่นหาเวลาหรือจัดเวลาสำหรับการอ่านให้กับตนเองทุกวันอย่างสม่ำเสมอ
5. เป็นคนรักหนังสือและแสวงหาหนังสือที่ดีอ่านอยู่เสมอ
6. มีความสามารถในการเลือกหนังสือที่ดีอ่าน
7. มีความอดทน มีอารมณ์หรือมีสมาธิในการอ่าน
8. มีสุขภาพกาย สุขภาพจิตที่สมบูรณ์
9. มีความเบิกบาน แจ่มใส และปลอดโปร่งอยู่เสมอ
10. มีนิสัยใฝ่หาความรู้ ความคิด และประสบการณ์ใหม่ ๆ อยู่เสมอ
11. มีทักษะในการอ่านสรุปความ วิเคราะห์ความ และวินิจฉัยความ
12. มีความคิดหรือมีวิจารณญาณที่ดีต่อเรื่องที่อ่านสามารถที่จะแยกแยะข้อเท็จจริง ความถูกต้อง ความเหมาะสมต่าง ๆ และสามารถเลือกนำไปใช้ประโยชน์
13. มีนิสัยชอบจดบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่พบในการอ่านและเห็นว่ามีคุณค่า
14. มีความจำดี รู้จักหาวิธีช่วยจำ และเพิ่มประสิทธิภาพของการจำ
15. มีนิสัยชอบเข้าร้านหนังสือและห้องสมุด
16. มีโอกาสหรือหาโอกาสพูดคุยกับผู้รักการอ่านด้วยกันอยู่เสมอ เพื่อแลกเปลี่ยน ทรรศนะในการอ่านให้แตกฉานยิ่งขึ้น
17. มีนิสัยหมั่นทบทวน ติดตาม ค้นคว้าเพิ่มเติม
วิธีอ่านหนังสือที่ดี
วิธีการอ่านหนังสือที่ดี มีขั้นตอน (ฉวีลักษณ์ บุณยะกาญจน, 2547, หน้า 112-113) ดังนี้
1. อ่านทั้งย่อหน้า การฝึกอ่านทั้งย่อหน้าควรปฏิบัติ ดังนี้
1.1 พยายามจับจุดสำคัญของเนื้อหาในย่อหน้านั้น
1.2 พยายามถามตัวเองว่าสามารถตั้งชื่อเรื่องแต่ละย่อหน้าได้หรือไม่
1.3 ดูรายละเอียดนั้นว่ามีอะไรบ้างที่สัมพันธ์กับจุดสำคัญ มีอะไรบ้างที่ไม่เกี่ยวข้อง และอะไรบ้างที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวข้องกันอย่างไร
1.4 แต่ละเรื่องติดต่อกันหรือไม่ และทราบได้อย่างไรว่าติดต่อกัน
1.5. วิธีการเขียนของผู้เขียนมีอะไรบ้างที่เสริมจุดสำคัญเข้ากับจุดย่อย
2. สำรวจตำรา หรือหนังสือนั้น ๆ ก่อนที่จะทำการอ่านจริง ดังนี้
2.1 ดูสารบัญ คำนำ เพื่อทราบว่าในเล่มนั้น ๆ มีเนื้อหาอะไรบ้าง
2.2 ตรวจดูบทที่จะอ่านว่ามีหัวข้ออะไรบ้าง
2.3 อ่านคำนำของหนังสือและบทนำในแต่ละบทด้วย
2.4 พยายามตั้งคำถามแล้วค้นหาคำตอบอย่างคร่าว ๆ
3. อ่านเป็นบท ๆ
หลังจากได้ทำการสำรวจหนังสือแล้ว ผู้อ่านจะได้ความรู้เกี่ยวกับผู้แต่ง ภูมิหลัง ตลอดจนความมุ่งหมายในการแต่งหนังสือ แล้วจึงเริ่มอ่านหนังสือเป็นบท ๆ โดยปฏิบัติ ดังนี้
3.1 อ่านทีละบทโดยไม่หยุดจนจบบท อาจจะหยุดเพื่อจดบันทึกใจความสำคัญบ้าง ในบางครั้งก็ได้
3.2 อ่านบทเดิมอีกครั้ง เลือกอ่านเฉพาะหัวข้อและประโยคแรกของแต่ละย่อหน้า ถ้าอ่านแล้วยังไม่เข้าใจ ก็อ่านข้อความในแต่ละย่อหน้าใหม่ ถ้าอ่านประโยคแรกแล้วจำได้ว่าม เนื้อความอะไรบ้างที่ผ่านไปยังย่อหน้าอื่นได้
3.3 จดบันทึก เพื่อตอบคำถามที่ตั้งไว้ตอนแรก
4. การอ่านแบบข้ามหรืออ่านแบบคร่าว ๆ
การอ่านแบบข้ามหรืออ่านแบบคร่าว ๆ มิได้ให้ความเข้าใจอะไรมากนัก จะใช้ได้ดี ต่อเมื่อ
4.1 ต้องการทราบข้อความบางอย่างเท่านั้น เช่น หมายเลขโทรศัพท์ ความหมายของ คำใดคำหนึ่ง
4.2 ต้องการทราบว่าควรอ่านทั้งหมดหรือไม่ ช่วยให้ทราบคร่าว ๆ ว่าในแต่ละบท เป็นอย่างไร เพราะเป็นการอ่านเฉพาะหัวข้อหรือข้อสรุปเท่านั้น
5. สะสมประสบการณ์และคำศัพท์ให้มากที่สุด
การที่ผู้อ่านจะเข้าใจเรื่องที่อ่านได้ดีนั้นจำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์เดิมและความรู้ เกี่ยวกับคำศัพท์ที่สะสมไว้ เมื่ออ่านเรื่องใหม่จึงสามารถนำเอาความรู้เดิมมาถ่ายโยงสัมพันธ์กับความรู้ใหม่ เพื่อเพิ่มความเข้าใจในเรื่องที่อ่านได้ดียิ่งขึ้น การสะสมประสบการณ์ความรู้และคำศัพท์นั้นสามารถทำได้โดยการอ่าน ปทานุกรม พจนานุกรม เพื่อรู้ศัพท์ต่าง ๆ และอ่านให้มาก ๆ เพื่อสะสมประสบการณ์และเพิ่มพูนความรู้อยู่ตลอดเวลา